วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

PHRAGĀTHĀ YODPHRAKANTRAIPITOK (Version English)




PHRAGĀTHĀ YODPHRAKANTRAIPITOK (Version English)
พิธีไหว้พระและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก
ก่อนเข้าห้องบูชาพระ ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและนุ่งห่มให้เรียบร้อย เข้านั่งที่ด้วยความสำรวมกายใจ ตั้งจิตให้แน่วแน่เพ่งตรงยังพระพุทธรูป ระลึกถึงพระรัตนตรัย ค่อยกราบ ๓ หน แล้วสงบจิตระลึกถึงพระคุณของบิดามารดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของบุตร จากนั้นจึงจุดเทียนบูชา ให้จุดเล่มด้านขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเล่มด้านซ้ายต่อไป จุดธูป ๓ ดอก เมื่อจุดเทียนธูปที่เครื่องสักการบูชาเสร็จแล้วเอาจิต (นึกเห็น) พระพุทธองค์มาเป็นประธาน พึงนั่ง ชายพึงนั่งคุกเข่า หญิงนั่งท่าเทพนม ประนมมือ ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย นมัสการพระพุทธเจ้า ไตรสรณคมน์และนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วจึงเจริญภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก จะเพิ่มความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น จะเกิดพลังจิตและมีความมั่นคงในชีวิต พึงทราบด้วยว่า การเจริญภาวนาทุกครั้งต้องอยู่ในสถานที่อันสมควร ขอให้ทำจิตตั้งมั่นในบทสวดมนต์ จะมีเทพยดาอารักษ์ทั้งหลายร่วมอนุโมทนาสาธุการขออย่าได้ทำเล่น จะเกิดโทษแก่ตนเอง
ยิ่ง ทำ ยิ่ง ได้ ยิ่ง ให้ ยิ่ง มี
PHRAGĀTHĀYODPHRAKANTRAIPITOK (ฉบับภาษาอังกฤษ)
Three Basket of the Tipitaka
 

1. ITIPI SO BHAGAVĀ ARAHAM VATA SO BHAGAVĀ
.
ITIPI SO BHAGAVĀ SAMMĀSAMBUDDHO VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ VIJJĀCARA
NASAMPANNO VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ SUGATO VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ LOKAVIDŪ VATA SO BHAGAVĀ.
ARAHANTAM  SARANAM  GACCHĀMI.
ARAHANTAM  SIRASĀ NAMĀMI.
SAMMĀSAMBUDDHAM  SARANAM  GACCHĀMI.
SAMMĀSAMBUDDHAM SIRASĀ NAMĀMI.
VIJJĀCARANASAMPANNAM SARANAM GACCHĀMI.
VIJJACARANASAMPANNAM SIRASĀ NAMĀMI.
SUGATAM SARANAM GACCHĀMI.
SUGATAM SIRASĀ NAMĀMI.
LOKAVIDAM SARANAM GACCHĀMI.
LOKAVIDAM SIRASĀ NAMĀMI.

๑. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู วะตะ โส ภะคะวาฯ
อะระหัง ตัง สะระณัง คัจฉามิ อะระหัง ตัง สิระสา นะมามิ
สัมมาสัมพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ
วิชชาจะระณะ สัมปันนัง สะระณัง คัจฉามิ วิชชาจะระณะ สัมปันนัง สิระสา นะมามิ
สุคะตัง สะระณัง คัจฉามิ สุคะตัง สิระสา นะมามิ
โลกะวิทัง สะระณัง คัจฉามิ โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ

2. ITIPI SO BHAGAVĀ ANUTTARO VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ PURISADHAMMASĀRATHI VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ SATTHĀ DEVAMANUSSĀNA
M  VATA SO BHAGAVĀ.
ITIPI SO BHAGAVĀ BUDDHO VATA SO BHAGAVĀ.
ANUTTARAM   SARANAM   GACCHĀMI.
ANUTTARA
M   SIRASĀ  NAMĀMI.
PURISADHAMMASĀRATHI  SARA
NAM   GACCHĀMI.
PURISADHAMMASĀRATHI  SIRASĀ NAMĀMI.
SATTHĀ  DEVAMANUSSĀNA
M  SARANAM  GACCHĀMI.
SATTHĀ DEVAMANUSSĀNA
M  SIRASĀ NAMĀMI.
BUDDHA
M  SARANAM  GACCHĀMI.
BUDDHA
M SIRASĀ NAMĀMI.

๒. อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะธัมมะสาระถิ วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง
วะตะ โส ภะคะวาฯ
อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ
วะตะ โส ภะคะวาฯ
อะนุตตะรัง สะระณัง คัจฉามิ อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ
ปุริสะธัมมะสาระถิ สะระณัง คัจฉามิ ปุริสะธัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง สิระสา นะมามิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พุทธัง สิระสา นะมามิ

3. ITIPI SO BHAGAVĀ RŪPAKKHANDHO ANICCA LAKKHA
NAPĀRAMĪ CA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ VEDANĀ KKHANDHO ANICCA LAKKHA
NA PĀRAMĪ CA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ  SA
ÑÑĀK KHANDHO ANICCA LAKKHANAPĀRAMĪ CA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ  SA
KHĀRAK KHANDHO ANICCA LAKKHANAPĀRAMĪ CA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ VI
ÑÑANAK KHANDHO ANICCA LAKKHANAPĀRAMĪ CA SAMPANNO.

๓.  อิติปิ โส ภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน
 

4. ITIPI SO BHAGAVĀ PA
HAVĪ DHĀTU SAMĀDHIÑĀNA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ĀPO  DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ TEJO DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ VĀYO DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ĀKĀSA DHĀTU  SAMĀDHI
ÑĀNA  SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ VIÑÑĀNA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNA SAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ CAKKAVĀ
LA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNA SAMPANNO.

๔. อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อาโปธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เตโชธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วาโยธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากาสะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิโส ภะคะวา วิญญาณะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จักกะวาฬะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

5. ITIPI SO BHAGAVĀ CĀTUMMAHĀRĀJIKĀ DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ
TĀVATIM  DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ YĀMĀ  DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ TUSITĀ  DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ NIMMĀNARATĪ  DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ PARANIMMITAVASAVATTĪ DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ KĀMĀVACARA DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNฺฺASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ RŪPĀVACARA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ARŪPĀVACARA DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ LOKUTTARA  DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.

๕. อิติปิ โส ภะคะวา จาตุมมะหาราชิกาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตาวะติงสาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ยามาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตุสิตาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา นิมมานะระตีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา กามาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา รูปาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะรูปาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โลกุตตะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

6. ITIPI SO BHAGAVĀ PAṬHAMA JHĀNA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ DUTIYA JHĀNA DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ TATIYA JHĀNA DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ CATUTTHA JHĀNA DHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ PA
ÑCAMA JHĀNA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.

๖. อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะมะฌานะธาตุสะมาธิ-ญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ทุติยะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตะติยะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุตถะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะมะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

7. ITIPI SO BHAGAVĀ ĀKĀSĀNAÑCĀYATANA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ VI
ÑÑĀNAÑCĀYATANA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ AKI
ÑCAÑÑĀYATANA DHĀTUSAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ NEVASA
ÑÑĀNĀSAÑÑĀYATANA DHĀTU SAMĀDHIÑĀNASAMPANNO.

๗. อิติปิ โส ภะคะวา อากาสานัญจายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญานัญจายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากิญจัญญายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

8. ITIPI SO BHAGAVĀ SOTĀPATTIMAGGADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ SAKIDĀGĀMIMAGGADHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ANĀGĀMIMAGGADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ARAHATTAMAGGADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ SOTĀPATTIPHALADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ SAKIDĀGĀMIPHALADHĀTU SAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ANAGĀMIPHALADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.
ITIPI SO BHAGAVĀ ARAHATTAPHALADHĀTUSAMĀDHI
ÑĀNASAMPANNO.

๘. อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

9. KUSALĀ DHAMMA ITIPI SO BHAGAVĀ AĀ YĀVAJĪVAM BUDDHAM   SARANAM   GACCHĀMI JAMBHŪDĪPAÑCA ISSARO KUSALĀ DHAMMA NAMO BUDDHĀYA
NAMO DHAMMĀYA NAMO SAGHĀYA PAÑCA BUDDHĀ NAMĀMIHAM  Ā PĀ MA CU PA DĪ MA SAM A  KHU SAM VI DHĀ PU GA YA PA UPASAJASAHE PĀSĀYASO
SO SO SA SA A A A A NI TE JA SU NE MA BHŪ CA NĀ VI VE A SA
M  VI SU LO PU SA BU BHA ISAVĀSU, SUSAVĀI, KUSALĀ DHAMMA CITTI VIATTHI.
ITIPI SO BHAGAVĀ ARAHAM  AĀ YĀVAJĪVAM  BUDDHAM SARANAM GACCHĀMI SĀBODHIPAÑCA ISSARO DHAMMĀ.
KUSALĀ DHAMMĀ NANDAVIVA
KO  ITI SAMMĀSAMBUDDHO SUGALĀNO YĀVAJĪVAM   BUDDHAM   SARANAM   GACCHĀMI.

๙. กุสะลา ธัมมา อิติปิ โส ภะคะวา อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง
สะระณัง คัจฉามิ ชัมภุทีปัญจะ อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นะโม พุทธายะ
นะโม ธัมมายะ นะโม สังฆายะ ปัญจะ พุทธา นะมามิหัง อา ปา มะ
จุ ปะ, ที มะ สัง อัง ขุ, สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ, อุปะสะชะสะเห ปาสายะโส ฯ
โส โส สะ สะ อะ อะ อะ อะ นิ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว,อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ, อิสวาสุ, สุสวาอิ กุสะลา ธัมมา จิตติวิอัตถิ.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง
คัจฉามิ สาโพธิปัญ จะ อิสสะโร ธัมมา.
กุสะลา ธัมมา นันทะวิวังโก อิติ สัมมาสัมพุทโธ สุคะลาโน
ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

10. CĀTUMMAHĀRĀJIKĀ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ ITI VIJJĀCARA
NASAMPANNO UU YĀVAJĪVAM  BUDDHAM 
SARANAM   GACCHĀMI.
TĀVATI
MSĀ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ NANDAPAÑCA SUGATO LOKAVIDŪ MAHĀEO YĀVAJĪVAM BUDDHAM 
SARANAM   GACCHĀMI.
YĀMĀ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ BRAHMĀSADDA PA
ÑCASATTA SATTĀPĀRAMĪ ANUTTARO YAMAKAKHA YĀVAJĪVAM   BUDDHAM  SARANAM   GACCHĀMI.
TUSITĀ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ PUYAPAKA PURISADAMMASĀRATHI YĀVAJĪVA
M   BUDDHAM   SARANAM   GACCHĀMI.
NIMMĀNARATĪ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ HETUPOVA SATTHĀ DEVAMANUSSĀNA
M TATHĀ  YĀVAJĪVAM  BUDDHAM   SARANAM  GACCHĀMI.
PARANIMMITAVASAVATTĪ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ SA
KHĀRAKKHANDHO DUKKHAM  ANICCAM ANATTĀ RŪPAKKHANDHO BUDDHAPAPHA YĀVAJĪVAM BUDDHAM  SARANAM  GACCHĀMI.
BRAHMĀ ISSARO KUSALĀ DHAMMĀ NATTHIPACCAYĀ VINAPA
ÑCA BHAGAVATĀ YĀVANIBBĀNAM   SARANAM GACCHĀMI.

๑๐. จาตุมมะหาราชิกา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา อิติ
วิชชาจะระณะสัมปันโน อุอุ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง  คัจฉามิ.
ตาวะติงสา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นันทะ ปัญจะ สุคะโต
โลกะวิทู มะหาเอโอ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ยามา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา พรหมาสัททะ ปัญจะสัตตะ
สัตตาปาระมี อะนุตตะโร ยะมะกะขะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตุสิตา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ
ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
นิมมานะระตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา เหตุโปวะ สัตถา
เทวะมะนุสสานัง ตะถา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา สังขาระขันโธ
ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ พุทธะปะผะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
พรหมา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ
ภะคะวะตา ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ.

11. NAMO BUDDHASSA NAMO DHAMMASSA NAMO SAGHASSA BUDDHILĀLOKALĀ KARAKANĀ ETENA SACCENA SUVATTHI HONTU HULŪ HULŪ HULŪ SAVĀHĀYA.
NAMO BUDDHASSA NAMO DHAMMASSA NAMO SA
GHASSA  VITTI VITTI VITTI MITTI MITTI MITTI CITTI CITTI VATTI VATTI MAYASU SUVATTHI HONTU HULŪ HULŪ HULŪ SAVĀHĀYA.
INDASĀVA
M   MAHĀINDASĀVAM   BRAHMASĀVAM   MAHĀBRAHMASĀVAM   CAKKAVATTISĀVAM   MAHĀCAKKAVATTISĀVAM   DEVĀSĀVAM   MAHĀDEVĀSĀVAM   ISĪSĀVAM   MAHĀISĪSĀVAM   MUNĪSĀVAM   MAHĀMUNĪSĀVAM   SAPPURISASĀVAM   MAHĀSAPPURISASĀVAM   BUDDHASĀVAM   PACCEKABUDDHASĀVAM   ARAHATTASĀVAM   SABBASIDDHIVIJJĀDHARĀNAM   SĀVAM  
SABBA LOKĀIRIYĀNAMSĀVAM   ETENA SACCENA SUVATTHI HONTU.
SĀVA
M   GUNAM   VAJA BALAM   TEJAM  VIRIYAM  SIDDHI KAMMAM  DHAMMAM  SACCAM  NIBBANAM  MOKKHAM  GUYHAGAM  DĀNAM  SĪLAM  PAÑÑĀ NIKKHAM  PUÑÑAM  BHĀGAYAM  YASAM  TAPPAM  SUKHAM  SIRI RŪPAM  CATUVĪSATIDESANAM  ETENA SACCENA SUVATTHI HONTU HULŪ HULŪ HULŪ SAVĀHĀYA.

๑๑. นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ พุทธิลาโลกะลา
กะระกะนา เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ.
นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ วิตติ วิตติ
วิตติ มิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ วัตติ วัตติ มะยะสุ
สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ.
อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง พรหมะสาวัง มะหาพรหมะสาวัง
จักกะวัตติสาวัง มะหาจักกะวัตติ-สาวัง เทวาสาวัง
มะหาเทวาสาวัง อิสีสาวัง มะหาอิสีสาวัง มุนีสาวัง
มหามุนีสาวัง สัปปุริสะสาวัง มหาสัปปุริสะสาวัง พุทธะสาวัง
ปัจเจกะพุทธะสาวัง อะระหัตตะสาวัง
สัพพะสิทธิวิชชาธะรานังสาวัง สัพพะโลกาอิริยานังสาวัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ.
สาวัง คุณัง วะชะ พะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิกัมมัง ธัมมัง
สัจจัง นิพพานัง โมกขัง คุยหะกัง ทานัง สีลัง ปัญญา นิกขัง
ปุญญัง ภาคะยัง ยะสัง ตัปปัง สุขัง สิริ รูปัง
จะตุวีสะติเทสะนัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ

12. NAMO BUDDHASSA DUKKHA
M   ANICCAM  ANATTĀ RŪPAKKHANDHO VEDENĀKKHANDHO SAÑÑĀKKHANDHO
SAKHĀRAKKHANDHO VIÑÑĀNAKKHANDHO NAMO ITIPI SO BHAGAVĀ.
NAMO DHAMMASSA DUKKHA
M   ANICCAM   ANATTĀ  RŪPAKKHANDHO VEDENĀKKHANDHO SAÑÑĀKKHANDHO
SAKHĀRAKKHANDHO VIÑÑĀNAKKHANDHO NAMO SVAKKHĀTO BHAGAVATĀ DHAMMO.
NAMO SA
GHASSA DUKKHAM   ANICCAM   ANATTĀ RŪPAKKHANDHO VEDENĀKKHANDHO SAÑÑĀKKHANDHO
SAKHĀRAKKHANDHO  VIÑÑĀNAKKHANDHO NAMO SUPATIPANNO BHAGAVATO SĀVAKASANGHO VĀHAPARITTAM.
NAMOBUDDHĀYA MAAU DUKKHA
M   ANICCAM   ANATTĀ YĀVA TASSA HĀYO MONA UAMA DUKKHA.M ANICCAM   ANATTĀ UAMAA VANDĀ NAMOBUDDHĀYA NAAKATI NISSARANA ĀRAPAKHUDDHAM  MAAU DUKKHAM   ANICCAM   ANATTĀ.

๑๒. นะโม พุทธัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ
เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม อิติปิโส ภะคะวา.
นะโม ธัมมัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะ-ขันโธ เวทะนาขันโธ
สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สวากขาโต
ภะคะวะตา ธัมโม. นะโม สังฆัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ วาหะปะริตตัง.
นะโมพุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ยาวะตัสสะ
หาโยโมนะ อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัต-ตา อุอะมะอะ วันทา
นะโม พุทธายะ นะอะกะติ นิสะระณะ อาระปะขุทธัง มะอะอุ
ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ฯ
VĪPASSĪT
วิปปัสสิต

SABBADUKKHĀ SABBABHAYĀ SABBAROKĀ VINĀSSANTU.
สัพพะทุกขา สัพพะภะยา สัพพะโรคา วินาสสันตุ.

PHRAGĀTHĀ YODPHRAKANTRAIPIDOK
“CI CE RU NI”
จิ. เจ. รุ. นิ.

 

พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก (แปล)

๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้รู้แจ้งโลก

๒. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เองโดยชอบว่า เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ทรงตรัสรู้เอง ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ถึงพร้อมด้วย
ความรู้และความประพฤติ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์
ผู้เสด็จไปดีแล้ว ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้รู้แจ้งโลก ด้วยเศียรเกล้า

๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นอนุตตะโร คือ ยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ตื่นจากกิเลส

๔. ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ยอดเยี่ยม ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้เป็น
ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า
ข้าพเจ้าขอถึงพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระองค์ผู้ตื่นจากกิเลส ด้วยเศียรเกล้า

๕. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น รูปขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เวทนาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สัญญาขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สังขารขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น วิญญาณขันธ์ เป็นอนิจจลักษณะ แต่พระบารมีถึงพร้อมแล้ว

๖. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ดินจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ไฟจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ลมจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ น้ำจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ อากาศจักรวาล เทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์

๗. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นยามา
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นดุสิต
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในกามาวจรภูมิ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในรูปาวจรภูมิ

๘. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปฐมญาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ทุติยญาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ตติยญาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ จตุตถญาน
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ ปัญจมญาน

๙. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากาสานัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ วิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ อันเป็นไปในอรูปาวจรภูมิ คือ อากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ

๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติมรรค
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิมรรค
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิมรรค
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอรหัตตมรรค

๑๑. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระโสดาปัตติผล และ พระอรหัตตผล
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระสกิทาคามิผล และ พระอรหัตตผล
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นธาตุ คือ พระอนาคามิผล และ พระอรหัตตผล

๑๒. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอิสสระแห่งชมภูทวีป
ธรรมะฝ่ายกุศล ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ด้วยหัวใจพระวินัยปิฎก ด้วยหัวใจพระสุตตันตปิฎก ด้วยหัวใจพระอภิธรรมปิฎก
ด้วยมนต์คาถา ด้วยหัวใจมรรคสี่ ผลสี่ และ นิพพานหนึ่ง ด้วยหัวใจพระเจ้าสิบชาติทรงแสดงการบำเพ็ญบารมีสิบ
ด้วยหัวใจพระพุทธคุณเก้า ด้วยหัวใจพระไตรรัตนคุณ ธรรมะฝ่ายกุศล มีนัยอันวิจิตรพิสดาร

๑๓. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

๑๔. ธรรมะฝ่ายกุศล ของผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกา
ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ธรรมะฝ่ายกุศล พระพุทธเจ้าเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นยามา
ธรรมะฝ่ายกุศล ด้วยความศรัทธาต่อพระพรหม ด้วยพระบารมีอันยอดเยี่ยมของพระโพธิสัตว์ทั้งห้า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

๑๕. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นดุสิต

๑๖. ธรรมะฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

๑๗. ธรรมฝ่ายกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้รู้แจ้ง สังขารขันธ์ รูปขันธ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ มิใช่เป็นตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตตวสวัสดี

๑๘. ธรรมะฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เป็นอิสสระถึงสวรรค์ชั้นพรหมโลก ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งตราบเข้าสู่พระนิพพาน

๑๙. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า ด้วยการสวดมนต์พระคาถานี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

๒๐. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

๒๑. ด้วยการสวดพระคาถามหาทิพมนต์นี้ และด้วยการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

๒๒. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

๒๓. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ผู้เข้าถึงรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

๒๔. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

๒๕. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว

๒๖. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระสังฆเจ้า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว

๒๗. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยคำสอนของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า ด้วยพระธรรมคำสั่งสอน ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตนของเราจริง

คำกรวดน้ำ ของยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ
ด้วยเดชะผลบุญของข้าพเจ้า ได้สร้างและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ ขอให้ค้ำชู อุดหนุน คุณบิดามารดา พระมหากษัตริย์ ผู้มีพระคุณ ญาติกา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร มิตรรักสนิท เพื่อนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโพสพ พญายมราช นายนิริยบาล ท้าวจะตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริคุตอำมาตย์ ชั้นจาตุมมะหาราชิกาเบื้องบน สูงสุดจนถึงภวัคคะพรหม และเบื้องล่างต่ำสุด ตั้งแต่โลกันตมหานรกและอเวจีขึ้นมา จนถึงโลกมนุษย์ สุดรอบขอบจักรวาล อนันตจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัย และเทพยดาทั้งหลาย ตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยมยักษ์ คนธรรพ์ นาคา พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ได้สุขขอให้ได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศให้ไปนี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบัน และอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ
พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักกะวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหนตุ.
โบราณว่าผู้ใดสร้างบุญกุศลและได้สวดภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นประจำจะมีอานิสงส์มาก เมื่อป่วยหนักให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ครั้นกำลังจะสิ้นใจผู้อยู่ใกล้บอกนำว่า อะระหัง หรือ พุทโธ เรื่อย ๆ เมื่อถึงแก่กรรม จงเขียน จิ. เจ. รุ. นิ. บนแผ่นทองหรือแผ่นเงิน ใบลาน, กระดาษ แล้วม้วนเป็นตะกรุด (ห้ามคลี่) ใส่ปากให้ไปสู่สุคติในสัมปรายภพสวรรค์ด้วย

 อานิสงส์การสร้างและสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นธรรมทาน

โบราณท่านว่า ผู้ใดได้พบยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้แล้ว ท่านว่าเป็นบุญตัวอันประเสริฐนัก เมื่อพบแล้วให้พยายามท่องบ่นสวดภาวนาอยู่เป็นนิตย์ตราบเท่าชีวิต จนทำลายขันธ์จากมนุษย์โลก แล้วก็จะไปยังเกิดในสัมปรายภพสวรรค์สุคติภพด้วยพระอานิสงส์เป็นแน่แท ้ ถ้าผู้ใดจะสวดขออานุภาพให้ผู้ป่วยไข้อาการจะดีขึ้น จะสวดแผ่กุศลอุทิศไปให้ บิดา มารดา หรือครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ ผู้มีพระคุณของท่านแล้ว ให้เขียน จิ เจ รุ นิ และชื่อท่านนั้น ๆ ใส่กระดาษก่อนสวดทุกครั้ง เมื่อสวดกี่จบครบตามที่เราต้องการแล้วให้นำกระดาษนั้นเผาไฟ และกรวดน้ำโดยคารวะ บอกชื่อฝากพระแม่ธรณีนำกุศลอันนี้ให้ท่านผู้นั้น ได้ตามความปรารถนาของเราทุกครั้ง
  • ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวร
  • กิจการงานเจริญรุ่งเรือง อุดมด้วยโภคทรัพย์
  • ผู้ใดอุทิศบุญกุศล อันเกิดจากการสร้าง ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ให้ ปู่ย่า ตา ยาย บิดา มารดา ฯ บุตร หลาน ที่อยู่เบื้องหลังมีความเจริญรุ่งเรือง
  • บิดา มารดา จะมีอายุยืน
  • สามีภรรยา รักใคร่ดีต่อกัน บุตรหลานเป็นคนดี
  • ปฏิสนธิวิญญาณบุตร เกิดมาเฉลียวฉลาด ปัญญาดี เลี้ยงง่าย สุขภาพดี
  • วิญญาณของบรรพบุรุษจะสู่สุคติภพ
  • เสริมบุญบารมีให้ตนเอง
  • แคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ
  • เมื่อสิ้นอายุขัยจะไปสู่สุคติภูมิ
*ขอตั้งสัตยาธิษฐาน ขอความเจริญรุ่งเรือง จงบังเกิดแก่ท่านผู้สร้าง ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ เพื่อความงอกงามในพระบวรพระพุทธศาสนาสืบไป.


อานิสงส์การสวดและภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก

ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ไว้สำหรับสวดและภาวนาทุกเช้าคำ เพื่อความสวัสดีเป็นสิริมงคลแก่ผู้สาธยาย อันเป็นบ่อเกิด มหาเตชัง มีเดชมาก มหานุภาวัง มีอานุภาพมาก และมีลาภยศ สุขสรรเสริญ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตราย และความพินาศทั้งปวง ตลอดทั้งหมู่มารร้ายและศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจแผ้วพานได้
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง
เป็นต้น ถ้าสาธยายหรือภาวนาแล้วจะนำมาซึ่งลาภยศ สุขสรรเสริญและปราศจากอันตรายทั้งปวง ตลอดทั้งเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญพระพุทธานุสติ วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นแดนเกิดของสมาธิอีกด้วย
อะระหันตัง สะระณัง คัจฉามิ
เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาแล้ว เป็นการมอบกายถวายชีวิตไว้กับองค์พระพุทธเจ้า หรือเอาองค์พระพุทธเจ้าเป็นตาข่ายเพชรคอยปกป้องคุ้มครองรักษาชีวิตให้ปราศจากเวรภัย
อิติปิโส ภะคะวา รูปะขันโธ
เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาแล้ว ขออาราธนาบารมีธรรมของพระพุทธองค์สิงสถิตในเบญจขันธ์ของเราเพื่อให้เกิด พระไตรลักษณญาน อันเป็นทางของพระนิพพานสืบต่อไป
อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุสะมาธิญาณสัมปันโน
ป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนา ขออำนาจสมาธิญาณของพระพุทธองค์เป็นไปในธาตุ ในจักรวาล ในเทวโลกหรือในกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และในโลกุตรภูมิ ขอจงมาบังเกิดในขันธสันดานของข้าพเจ้าหรือเรียกว่าเป็นการเจริญสมถภาวนา อันเป็นบ่อเกิดแห่งรูปฌาน อรูปฌาน อภิญญา เป็นการเจริญวิปัสสนา อันเป็นบ่อเกิดแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ฯ
กุสลา ธัมมา อิติปิโส ภะคะวา
เป็นต้น เป็นการสาธยายหัวใจพระวินัยปิฎก หัวใจพระสุตตันตปิฎก หัวใจพระอภิธรรมปิฎก และเป็นหัวใจพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ พระเจ้า ๑๐ ชาติ และหัวใจ อิติปิ โส ตลอดทั้งหัวใจอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อภาวนาแล้วจะนำลาภ ยศ ฐาบรรดาศักดิ์ ทั้ง อายุ วรรณะ สุขะ พละ และจะป้องกันสรรพภัย ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวัสดิมงคลแก่ตนและบุตรหลานสืบไป
อินทะสาวัง มหาอินทะสาวัง
เป็นต้น เมื่อสาธยายหรือภาวนาแล้วมีทั้งอำนาจ ตบะ เดชะ ความสุข ความเจริญรุ่งเรืองทุกประการ
พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายต่างก็กล่าวเน้นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของจริงของแท้ที่เรายึดมั่นเป็นหลักชัยแห่งชีวิตได้ ยิ่งมีการปฏิบัติธรรมทั้งทาน ศีล ภาวนา สม่ำเสมอความสุขความเจริญเกิดขึ้นแก่ตนแน่ อย่าสงสัย การรวยทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ก่ออานิสงส์ ไม่เท่ากับรวยบุญรวยกุศล ซึ่งจะบังเกิดความสุขความเจริญในปัจจุบัน และตามติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติด้วย ฉะนั้น ชาวพุทธทั้งหลาย จงเจริญภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกเช้าค่ำเถิด จะบังเกิดความสวัสดิมงคลแก่ตนและครอบครัว ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้า เทอญ.
นมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค
นะโม เม สัพพะพุทธานัง
ตัณหังกะโร มะหาวีโร
สะระณังกะโร โลกะหิโต
โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
สุมะโน สุมะโน ธีโร
ปะทุโม โลกะปัชโชโต
ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร
สุชาโต สัพพะโลกัคโค
อัตถะทัสสี การุณิโก
สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
สิขี สัพพะหิโต สัตถา
กะกุสันโธ สัตถะวาโห
กัสสะโป สิริสัปปันโน
เตสาหัง สิระสา ปาเท
วะจะสา มะนะสา เจวะ
อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
สะยะเน อาสะเน ฐาเน
อุปปันนานัง มะเหสินัง
เมธังกะโร มะหายะโส
ทีปังกะโร ชุตินธะโร
มังคะโล ปุริสาสะโภ
เรวะโต ระติวัฑฒะโน
นาระโท วาระสาระถ ี
สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล
ปิยะทัสสี นะราสะโภ
ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
วิปัสสี จะ อะนูปะโม
เวสสะภู สุขะทายะโก
โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
โคตะโม สักยะปุงคะโวฯ
วันทามิ ปุริสุตตะเม
โสภิโต คุณะสัมปันโน
วันทาเมเต ตะถาคะเต
คะมเน จาปิ สัพพะทา


ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ซึ่งได้อุบัติแล้วคือ พระตัณหังกรผู้กล้าหาญ พระเมธังกรผู้มียศใหญ่ พระสรณังกรผู้เกื้อกูลแก่ชาวโลก พระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
พระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง พระโกณฑัญญะผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน พระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ พระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหฤทัยงาม พระเรวะตะผู้เพิ่มพูนความยินดี พระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ พระอโนมทัสสีผู้สูงสุดอยู่ในหมู่ชน พระปทุมะผู้ทำให้โลกสว่าง พระนารทะผู้เป็นสารถีประเสริฐ พระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ พระสุเมธะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้ พระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง พระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน พระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา พระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด พระสิทธัตถะผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก พระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย พระปุสสะผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ พระวิปัสสสี ผู้หาที่เปรียบมิได้ พระสิขีผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ พระเวสสภู ผู้ประทานความสุข พระกกุสันธะ ผู้นำสัตว์ออกจากกันดารตัวกิเลส พระโกนาคมนะผู้หักเสียซึ่งข้าศึกคือกิเลส พระกัสสปะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ พระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช

ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระบาท ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ผู้เป็นตถาคตด้วยวาจาและใจทีเดียว ทั้งในที่นอนในที่นั่ง ในที่ยืน และแม้ในที่เดินด้วยในกาลทุกเมื่อ ฯ

ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ ปิ
อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง

พระนามพระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระองค์แรกถึงพระองค์ปัจจุบัน โบราณาจารย์ท่านถือว่าเป็นพระคาถาแก้วสารพัดนึก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น